ที่มาของสตูดิโอซ้าง
การก่อตั้งสตูดิโอซ้าง( Studio Xang ) เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ.2537 โดย บุคคล 2 คน คือ พันธินีย์ จำเนียรไวย ( รบ.จุฬา ) ผู้มีความรักและสนใจในศิลปะมาตั้งแต่เยาว์วัยแต่ไม่มีโอกาสได้ศึกษาด้านนี้ เพราะเกิดมาในสมัยที่ผู้ปกครองในยุคนั้นมีความเชื่อว่า” ศิลปะคือเรื่องเหลวไหลไร้สาระ” และนิตยา เอื้ออารีวรกุล ( ศป.บ. จุฬา ) ศิลปินอิสระที่มองเห็นถึงคุณค่าของการแสดงออกทางศิลปะเพื่อลดความก้าวร้าวในยุคสมัยที่เป็นอยู่ ทั้งสองได้นำประสบการณ์ทางด้านศิลปะและการจัดการมารวมกันให้เกิด ชมรมศิลปินในฝันที่ทุกคนรวมตัวกันเพื่อสร้างงานศิลปะ ขณะเดียวกันก็มีการช่วยเหลือเจือจุนกัน ทั้งด้านวัตถุและกำลังใจ รวมทั้งจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นที่แสดงงานศิลปะแบบประหยัดและช่วยจัดจำหน่ายผลงานให้กับศิลปิน ทั้งมือเก่าและมือใหม่ ซึ่งทุกปีจะมีการจัดงาน Party Artist ที่มีการรวมตัวกันระหว่างศิลปินรุ่นใหญ่และรุ่นน้อง ด้วยการจัดจำหน่ายผลงานในราคาเดียว เพื่อเป็นการพบปะสังสรรค์สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ศิลปินและผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของผลงานศิลปะด้วย
ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดความคิดที่จะสอนศิลปะเด็กและผู้ใหญ่ควบคู่กันไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นภาระที่พึงกระทำต่อสังคม จึงมีการรวมตัวของผู้ทำงานศิลปะเพื่อเสนอกิจกรรมศิลปะให้เด็กๆครั้งแรกที่ โรงเรียนนานาชาติ เซนต์จอห์น ซึ่งมองเห็นความสำคัญนี้และขยายผลไปทำที่ ศูนย์พัฒนาเด็กPremier แจ้งวัฒนะ จากนั้นได้รับเชิญจากหน่วยงานเช่น การบินไทย ให้สร้างกิจกรรมสำหรับเด็กในวันเด็ก ศูนย์วัฒนธรรม ร่วมกับ Dance Centre และ โครงการศูนย์พัฒนาเด็กในโครงการพระราชดำริ วัดเฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี
ปัจจุบัน สตูดิโอซ้าง ได้ก่อตั้งขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่อีกแห่งหนึ่งและดำเนินการโดย คุณพันธินีย์ จำเนียรไวยและ คุณพดุงศักดิ์ คชสำโรง รวมทั้งอาสาสมัคร กลุ่มคนที่ทำงานด้านศิลปะ โดยมุ่งเน้นที่จะพัฒนางานทางด้านศิลปะเด็ก ตามแนวความคิด “ ศิลปะเพื่อการพัฒนาเด็ก พัฒนาเด็กด้วยศิลปะ ( Child Development Through Art ) “ ให้เป็นแนวทางใหม่สำหรับเด็กทุกคนทุกกลุ่มและพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจ ต้องการเห็นเด็กๆมีพัฒนาการและการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติตามวัยของเด็ก รวมทั้งพัฒนาศิลปะนิสัย ความชื่นชอบความสวยงามในงานศิลปะ สร้างความคิดสร้างสรรค์ ความเชื่อมั่นในตัวเอง และให้เป็นผู้มีรสนิยมเข้าใจในความพอดี(ดุลยภาพ) ขององค์ประกอบต่างๆในการดำเนินชีวิต
เนื่องจากมองเห็นว่ายังมีช่องว่างระหว่างงานศิลปะกับผู้ที่สนใจในงานศิลปะ ดังนั้นจึงเริ่มมีการจัดโปรแกรมการสอนศิลปะเด็กและการอบรมเชิงปฎิบัติการสำหรับผู้ใหญ่ในบางโอกาส เมื่อได้ทำการศึกษาค้นคว้า เรื่องเด็กมากขึ้นก็ได้พบว่า นอกจากศิลปะจะเป็นการสร้างสรรค์จากผู้ที่มีฝีมือและพรสวรรค์เพียงเท่านั้น ในมุมมองใหม่ที่เห็นว่า “ศิลปะ” เป็นภาษา เป็นสื่อ และเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน ซึ่งหมายถึงเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อเป็นประโยนช์ในการรับรู้ศาสตร์อื่นๆที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษย์ ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม และที่สำคัญศิลปะยังเป็นส่วนเสริมสร้างพลังอำนาจ( Empowerment)ของตัวเองในการสร้างสรรค์ของทุกคนให้ปรากฏขึ้นมาเป็นความชัดเจน และเข้าใจในศักยภาพของตัวเองในที่สุด